พระมหาธรรมราชาที่ ๓ (ไสลือไทย) ทรงเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๘ แห่งราชวงศ์ พระร่วงกรุงสุโขทัย เสวยราชสมบัติตั้งแต่ พ.ศ. ๑๙๔๓ (จารึกหลักที่ ๔๖) ถึง พ.ศ.๑๙๖๒ (พระราช- พงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์)
พระมหาธรรมราชาที่ ๓ เป็นพระราชโอรสในพระมหาธรรมราชาที่ ๒ และเป็นพระเชษฐาพระมหาธรรมราชาที่ ๔(บรมปาล) เมื่อพ่อขุนรามคำแหงมหาราชสวรรคตแล้ว (พ.ศ.๑๘๔๑) อาณาจักรสุโขทัยแตกแยกเป็นส่วนๆ พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลือไทย) ทรงรวบรวมอาณาจักรสุโขทัย ขึ้นใหม่ใน พ.ศ. ๑๙๓๕ เมืองแพร่ งาว พลัว อยู่ในความดูแลของกษัตริย์น่าน รวมเป็นแคว้นขึ้นกับ อาณาจักรสุโขทัย (จารึกหลักที่ ๖๔) พ.ศ. ๑๙๓๙ สมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๒ อาณาจักรสุโขทัยรวมถึงปกกาว (รัฐน่าน) ลุมบาจาย ชวา (หลวงพระบาง) ดอยอุย พระบาง (นครสวรรค์) นครไทย เพชรบูรณ์ ไตรตรึงษ์ เชียงทอง เชียงแสนถึงแม่น้ำปิง แม่น้ำโขง ฉอด เมืองพัน (๕๐ กิโลเมตร เหนือเมาะตะมะ) (จารึกหลักที่ ๒๘๖)
ในรัชสมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๓ มีเรื่องเกี่ยวกับอาณาจักรสุโขทัยในจารึกหลักที่ ๔๖ วัดตาเถรขึงหนังว่า พ.ศ. ๑๙๔๓ พระองค์ทรง “นำพ (ล) รบราคลาธรนีดลสกลกษัตริย์ (หากขึ้นเสวยใน) มหามไหสวริยอัครราช เป็นท้าวพระยามหากษัตริย์ (นครศรีสัชนาลัย) สุโขทัย แกวกลอยผลาญปรปักษ์ศัตรู นู พระราชสีมา...เป็นขนอบขอบพระบางเป็นแดน เท่าแสนสองหนองห้วยแลแพร่” ขณะนั้น) ไปช่วยท้าวยี่กุมกามชิงราชสมบัติจากพระเจ้าสามฝั่งแกนแห่งเชียงใหม่ (ขึ้นครองราชสมบัติพ.ศ. ๑๙๔๕ ตามชินกาลมาลีปกรณ์ หรือ พ.ศ. ๑๙๕๕ ตามพงศาวดารโยนก) ตีได้พะเยา เชียงราย และฝาง แต่ในที่สุดก็พ่ายแพ้กลับไป
จารึกหลักที่ ๙ กล่าวถึง พระภิกษุฟ้องร้องกันเองมาก พระมหาธรรมราชาที่ ๓ จึงตราพระราชโองการเมื่อ พ.ศ.๑๙๔๙ ว่า ทางสงฆ์ปกครองกันเอง เมื่อสังฆราชาตัดสินว่าอย่างไรแล้วพระองค์ก็จะละเมิดมิได้